สายลมกับความรักที่หลุดลอย
เรื่องราวซึ้งปนเศร้าของคู่รักที่โชคชะตาแยกทั้งคู่ออกจากกัน
ผู้เข้าชมรวม
259
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
***ฉบับแก้ไข***
“นี่ฟิน เอาเสื้อคลุมตัวนี้ไปใส่เสียสิ”
ฉันสะดุ้งคล้ายคนที่เพิ่งตื่นจากความฝันเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังอยู่ข้างๆ เมื่อเหลียวไปมองก็พบหญิงสาว อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน รูปร่างผอมเพรียวในชุดราตรีสีขาวบางยาวกรอมเท้า ยืนอยู่ด้านขวามือกำลังยื่นเสื้อคลุมครึ่งตัวสีส้มให้ฉัน เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเธอพัดปลิวไปตามแรงลมที่ลอดผ่านประตูไม้บานใหญ่ที่แง้มเปิดไว้ ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ของเธอจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาของฉันราวกับว่าเธอกำลังเค้นเอาความลับทั้งหมดออกมาจากฉัน สายตาของเธอดูลึกลับยิ่งนัก
ฉันยื่นมือไปรับเสื้อคลุม แต่สายตาของฉันก็ยังมองเธออยู่เช่นเดียวกัน ฉันไม่คิดว่าฉันเคยรู้จักหญิงสาวคนนี้มาก่อน แต่ใจของฉันกลับรู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงและดวงตาลึกลับคู่นี้ยิ่งนัก ฉันสวมเสื้อคลุมแล้วมองไปที่กระจกบานใหญ่ข้างหน้า เสื้อคลุมตัวนี้ช่างเข้ากับชุดราตรียาวสีส้มที่ฉันกำลังใส่อยู่อย่างมาก ฉันหันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้น เธอกำลังยิ้มอยู่ ดวงตาเธอดูสดใส ใบหน้าของเธอให้ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ได้รับของเล่นชิ้นใหม่
“เสื้อคลุมตัวนี้มันไม่ใช่เสื้อคลุมธรรมดาหรอกนะ แต่มันสามารถพาเธอไปยังที่ที่ก้นบึงของหัวใจของเธอปรารถนาที่จะไปเป็นที่สุด ที่เธอต้องทำก็เพียงแต่...” เธอหยุดลังเล
“เอาเป็นว่าตามฉันมาทางนี้”
น้ำเสียงของเธอทำให้ฉันไม่อาจกล่าวปฏิเสธได้ เธอเดินนำฉันผ่านประตูไม้บานใหญ่ออกมาที่สนามหญ้า ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีฟ้าสดใส ดูงดงามกว่าวันใดๆที่เคยมีมา สายลมอ่อนๆพัดโชย ทำให้ทั้งต้นหญ้าต้นและกิ่งก้านสาขาของต้นไม้อื่นๆพลิ้วไหวไปตามแรงลม ลมที่พัดต้องใบหน้าของฉันเย็นฉ่ำ กลิ่นไอของมันหอมหวนสดชื่นยิ่งนัก
“ยืนตรงนี้ หลับตาลงช้าๆ ปล่อยใจให้สบาย ปล่อยใจให้ปลิวไปกับสายลม เมื่อสายลมนี้หยุดพัดเมื่อไรก็ขอให้เธอลืมตาขึ้น และสถานที่ที่ปรากฏเบื้องหน้าเธอนั้นก็คือสถานที่ที่เบื้องลึกของจิตใจเธอไขว่คว้า และใฝ่ฝันหามากที่สุด แต่ให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า คนที่เธอกำลังจะไปพบหรือคนอื่นทั่วไปที่อยู่ ณ ที่นั้นจะไม่สามารถมองเห็นเธอ หรือรับรู้ถึงการคงอยู่ของเธอได้”
ฉันค่อยๆหลับตาลง แล้วผ่อนใจให้สบาย สายลมพัดปะทะทั่วร่างกายของฉันดูจะแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บหรืออย่างไร ที่น่าประหลาดใจคือฉันสามารถรับรู้ถึงความอ่อนโยนของสายลมนั้นได้ ลมพัดแรงขึ้นและแรงขึ้นอีกครั้ง เสียงของผู้หญิงคนนั้นเบาลงและเบาลง ฟังดูเหมือนเธอกำลังอยู่ห่างจากฉันไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็ถูกกลืนไปกับเสียงลม ฉับพลันนั้นเองสายลมแรงนั้นก็หยุดพัด ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่สนามหญ้านั้นแล้ว แต่กลับมาอยู่ในห้องที่คล้ายกับโถงรวมของอาคารแห่งหนึ่ง
ฉันมองไปรอบๆตัว กระดานข่าว..โต๊ะกระจกใส..เก้าอี้..แจกัน..โคมไฟ ทุกอย่างที่นี่ดูคุ้นตายิ่งนัก ข้างหน้าของฉันเป็นทางเดินตรงทอดยาว และขวามือของต้นทางเดินนั้นมีประตูไม้ทาสีครีมบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่ ฉันเดินออกจากห้องโถงไปยังทางเดินแล้วเปิดประตูบานนั้นออก เบื้องหลังของประตูเป็นห้องธรรมดาห้องหนึ่ง ไม่มีคนอยู่ในห้องนั้นเช่นเดียวกับที่ไม่มีใครอยู่ในห้องโถงที่ผ่านมา ในห้องมีเก้าอี้เรียงชิดขอบกำแพงสามด้านในแนวรูปตัวยู ด้านหลังแถวของเก้าอี้บริเวณโค้งของตัวยูเป็นหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งสามารถมองออกไปเห็นรถราวิ่งอยู่บนถนนและคนเดินขวักไขว่บนทางเท้า ด้านตรงข้ามกับหน้าต่างบานนี้เป็นกระดานไวท์บอร์ด และหน้าต่อจากกระดานไวท์บอร์ดมีชุดโต๊ะและเก้าอี้อีกหนึ่งชุดต่างหากวางอยู่
ฉันมองทั่วห้องนี้ด้วยความรู้สึกคุ้นเคย จากความคุ้นเคยเปลี่ยนเป็นความคิดถึง ฉันเดินไปยังเก้าอี้ตัวแรกสุดที่อยู่ใกล้กับประตูห้อง วางมือลงเพื่อรับสัมผัสของมัน ฉันหันมาทางเก้าอี้ตัวถัดมาและวางมือรับสัมผัสของมันเช่นเดียวกับเก้าอี้ตัวแรก
“เก้าอี้ของเขา และเก้าอี้ของฉัน” ฉันพึมพำ
ภาพความทรงจำต่างๆเริ่มไหลเข้ามาสู่ห้วงคิดของฉัน ผู้ชายคนหนึ่งเดินมานั่งข้างๆฉันที่เป็นเด็กใหม่ของห้อง เขาแนะนำตัวว่าเขาชื่อ ‘นิค’ เราสองคนต้องจับคู่ทำงาน พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อฝึกภาษาอังกฤษของเราให้คล่อง นั่นคือจุดประสงค์ของพวกเราทุกคนที่มาเรียนที่นี่ วันเวลาผ่านไป...จากคนแปลกหน้าสองคนกลายมาเป็นเพื่อน จากความใกล้ชิดสนิทสนมเปลี่ยนมาเป็นความผูกพัน ถึงแม้เราสองคนมาจากคนละประเทศ พูดคนละภาษา แต่ ณ ที่นั้น ที่ห้องๆนั้น ใจของพวกเราสามารถสื่อสารได้ตรงกัน ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกล่าวคำว่า ‘รัก’ ออกมา จวบจนกระทั่งวันสุดท้ายของการเรียนพวกเราก็ทำได้เพียงแค่มองตากันและกล่าวคำอำลา
กาลเวลาล่วงเลยไป ความสับสนในจิตใจของทั้งสองฝ่ายก็เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าการกระทำจะสามารถบ่งบอกความรู้สึกได้แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะลบล้างความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเรา ยิ่งเราต้องห่างกันไกลยิ่งทวีความคับข้องใจมากยิ่งขึ้น ต่างฝ่ายต่างมีธุระมากมายจนเวลาที่ควรมีให้กันลดหายไป เมื่อใกล้เปลี่ยนเป็นไกล เมื่อหัวใจที่เคียงชิดเปลี่ยนเป็นห่างเหิน เมื่อความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่แน่นอน เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์ของเราสองคนจึงหยุดชะงักเพียงเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็น ‘เขา’ สินะที่เบื้องลึกในจิตใจของฉันอยากพบมากที่สุด” ฉันพูดกับตัวเอง
ฉันเดินออกมาจากห้องนั้นด้วยความรู้สึกที่ค้างคา ตอนนี้ฉันรู้เพียงว่าฉันจะต้องตามหาเขาให้เจอเพื่อที่จะบอกเขาว่าฉันรักเขามากแค่ไหน ถ้าหากฉันสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะบอกให้เขาได้รู้ถึงความรู้สึกของฉัน ฉันอยากจะพูดคำนั้นกับเขา เพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นฉันหรือเขาได้เอ่ยคำนั้นออกมา ความสัมพันธ์ของเราคงไม่มีตอนจบเช่นนี้เป็นแน่
ฉันเดินไกลออกไปตามทางเดินนั้นและมาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูห้องนั้นเปิดกว้างไว้และข้างประตูเป็นหน้าต่างบานเกร็ดสามช่องเรียงกัน หน้าต่างแต่ละบานถูกเปิดไว้ในระดับที่ทำมุมต่างๆกัน ราวกับว่ามันเป็นศิลปะบนผืนผ้าใบชิ้นหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปในห้อง ในห้องนั้นมืดสนิทและรู้สึกได้ถึงฝุ่นผงที่กระจายอยู่เต็มห้อง พัดลมติดผนังเครื่องเก่าๆ มีฝุ่นเกาะหนากำลังทำงาน ส่งเสียง ‘แกร๊กๆ แกร๊กๆๆ’ น่ารำคาญเวลาหมุน กลางห้องนั้นมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่ มีเก้าอี้วางประปรายตามจุดต่างๆของโต๊ะ ที่มุมขวามือหน้าสุดของโต๊ะนั้นมีชายคนหนึ่งนอนฟุบหน้าอยู่ ฉันเดินตรงเข้าไปหาเขา และทันทีที่เห็นใบหน้าของเขาเต็มตา น้ำใสๆก็หยาดรินไหลลงมาที่แก้มของฉันอย่างช้าๆ
“โอ นิค...นิค... ฉันคิดถึงคุณมากเลยรู้ไหม”
ฉันนั่งลงบนโต๊ะข้างๆที่ที่เขาฟุบหน้าอยู่ หันตัวไปทางเขา ก้มหน้าลงมอง และลูบไล้เส้นผมของเขาด้วยความคิดถึง มือของฉันสั่นเล็กน้อยขณะที่สัมผัสเขา อาจเป็นเพราะความตื้นตันใจที่ได้พบกับเขาอีกครั้งก็เป็นได้ หยดน้ำตาของฉันหล่นไปกระทบกับมือของเขา และทันใดนั้นเองเขาก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นยืนทันที ฉันรีบวิ่งออกจากห้องไปด้วยความตกใจและไปยืนอยู่ด้านหลังหน้าต่างบานเกร็ด
“สงสัยฉันคงจะประสาทหลอนไปแล้ว ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ข้างฉันตอนที่ฉันฟุบหลับไป” เขาพูด
“รู้สึกเหมือน...เหมือนฟินอยู่ที่นี่ ฉันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ฟินจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน”
“นิค ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่ที่นี่ไงละนิค คุณไม่ได้ยินเสียงหรอ คุณมองไม่เห็นเห็นฉันใช่ไหม”
“ฟิน ฉันคิดถึงเธอมากนะ ฉันเศร้าทุกครั้งที่คิดถึงเธอ มีหลายสิ่งที่ฉันอยากบอกให้เธอรู้ มีหลายสิ่งที่ถ้าหากฉันย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะทำมันเพื่อเธอ”
“ฉันรู้ค่ะ ฉันเข้าใจดี ฉันเองก็เหมือนกัน” ฉันพูดพลางสะอื้น
นิคเดินมาที่หน้าต่างบานเกร็ดที่ฉันยืนอยู่ สายตาเขามองมาที่ฉันแต่ในดวงตาของเขากลับไม่มีภาพสะท้อนของฉันอยู่ในนั้น น้ำใสๆเริ่มไหลคลอเบ้าตาทั้งสองของเขา
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเธออยู่ตรงนี้นะฟิน ถ้าเธออยู่ตรงนี้จริงๆฉันก็อยากให้เธอรับฟังคำพูดที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ไว้”
นิคยืนเงียบไป ฉันยื่นมืออันสั่นเทาผ่านกระจกบานเกร็ดเพื่อจะสัมผัสใบหน้าของเขา แต่ก่อนที่มือของฉันจะถึงใบหน้าของเขา เขาก็พูดต่อว่า
“ฟิน อันที่จริงแล้วฉันอยากให้เธอเก็บแลปทอปเครื่องนี้ไว้ ความทรงจำดีๆของเราสองคนเริ่มต้นจากคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ เธอจำได้ไหม ฉันจึงอยากให้เธอเป็นคนทะนุถนอมตัวแทนความรู้สึกดีๆของพวกเราไว้...พระเจ้า ได้โปรดช่วยคุ้มครองฟินด้วย ช่วยดูแลเธอ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจเธอ จนกว่าวันที่ผมและเธอจะได้พบกันอีกครั้ง” เขาพูด สายตาของเขาก็ยังคงจ้องมองมาที่ฉัน
“รักฟินนะ” เขาพูดคำสุดท้ายแต่เพียงเบาๆ พร้อมหยาดน้ำตาที่อาบลงบนสองแก้ม
“ฉันจะกลับมาเธอ ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะกลับมาหาเธอ ฉันรักเธอนะนิค”
ฉันรู้สึกได้ถึงกระแสลมแรงที่พัดอยู่รอบกายของฉัน สายลมนั้นค่อยๆพัดพาฉันให้ออกไปไกลจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เขาก็หันไปมองรอบตัวราวกับว่าเขาได้ยินเสียงบอกรักของฉัน ฉันมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่กระแสลมจะพัดพาฉันไปไกลแสนไกล
ฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอน ที่ปลายเตียงมีเสื้อคลุมสั้นสีส้มพับวางไว้ ฉันใช้มือทั้งสองลูบไปตามใบหน้าและสัมผัสได้ถึงรอยน้ำตาของตัวเอง นิคไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว เช่นเดียวกับหญิงสาวเจ้าของเสื้อคลุมตัวนี้ด้วย ฉันรับรู้ได้ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงความฝัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เป็นเรื่องจริง
“นิค ฉันรักคุณ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนฉันก็ยังรักคุณและจะรักคุณตลอดไป ฉันจะหาทางกลับไปหาคุณให้จงได้ รอฉันก่อนนะ แล้วสักวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก”
ฉันมองออกไปยังท้องฟ้า พยายามมองไปให้ไกลที่สุดและหวังว่าความรู้สึกของฉันจะส่งข้ามขอบฟ้าไปถึงเขา ในขณะเดียวกัน ที่อีกปลายหนึ่งของฟากฟ้า ชายหนุ่มก็กำลังมองขึ้นมาและคิดว่าเขาจะสามารถส่งความคิดถึง ห่วงใย ไปยังหญิงผู้เป็นรักได้เช่นเดียวกัน
ผลงานอื่นๆ ของ F@rR ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ F@rR
ความคิดเห็น